หากภาษีใหม่ของสหรัฐฯ และภาวะการปิดตัวของรัฐบาลที่กำลังจะมาถึงยังไม่ทำให้ตลาดผวา นักลงทุนควรกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่สูงลิ่วจริงๆ หรือไม่? ปัจจุบันดัชนี S&P 500 กำลังมีการซื้อขายที่เกือบ 23 เท่าของผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับใน 12 เดือนข้างหน้า ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ระดับดังกล่าวพบเห็นได้เพียงสองครั้งเท่านั้น — ระหว่างฟองสบู่ดอทคอมและการระบาดใหญ่ แต่ยังมีบริษัทบางแห่งที่มีการซื้อขายในอัตราส่วน P/E ที่สูงกว่าเดิมอีกด้วย

บริษัทในสหรัฐฯ ที่มีการประเมินมูลค่าสูง

น่าสนใจคือ หุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินจริงกลับเป็นผู้นำในตลาดที่กำลังฟื้นตัว เมื่อวันที่ 29 กันยายน ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น โดยมีการพุ่งขึ้นถึง 12% ในหุ้น Robinhood ซึ่งมีอัตราส่วน P/E อยู่ที่ 60 ตั้งแต่ต้นปี หุ้น Robinhood ได้เพิ่มค่าขึ้นสามเท่า

นักวิเคราะห์บางคนโต้แย้งว่า สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งค่าความเป็นไปได้เฉลี่ยของภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 42% ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 10% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนจากเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นเศรษฐกิจที่เน้นเทคโนโลยีและบริการ ส่วนแบ่งของบริษัทขนาดใหญ่ในดัชนี S&P 500 ได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หากใช้ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักแทนการใช้น้ำหนักตามมูลค่าตลาด อัตราส่วน P/E ของดัชนีกว้างจะลดลงเป็น 17.8 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี

มุมมองการประเมินมูลค่าดัชนี S&P 500

ในปัจจุบัน มาตรวัดการประเมินค่ากลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญน้อยลงในการตัดสินใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนต่างๆ เช่น กำไรของบริษัท ภาวะเศรษฐกิจมหาภาค และนโยบายของ Federal Reserve นอกจากนี้ ตลาดสหรัฐฯ ยังมีข้อได้เปรียบหนึ่งที่สำคัญกว่าตลาดอื่น นั่นคือ ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ ยังคงเพิ่มการถือสินทรัพย์ในอเมริกามากขึ้น หลังจากวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐ โดยในช่วงสามเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อหุ้นมูลค่า 290 พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนต่างชาติขณะนี้ถือหุ้นอเมริกามูลค่าประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 30% ของตลาดที่มีมูลค่า 60 ล้านล้านดอลลาร์

ด้วยความต้องการที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศและไม่มีความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าที่สูงเกินไป ดัชนี S&P 500 ได้ทำสถิติสุงใหม่ไปแล้วประมาณ 30 ครั้งในปีนี้ และดูเหมือนว่าจะรับมือกับภาษีใหม่จากทำเนียบขาวและความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานรัฐบาลได้ ในทางประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมักจะถูกแก้ไขในนาทีสุดท้าย ตลาดจะเริ่มใส่ความเสี่ยงของการปิดหน่วยงานเมื่อสถานการณ์การเผชิญหน้าต้านทานมานานหลายวัน

สิ่งที่สำคัญมากกว่าสำหรับตลาดหุ้นคือคำพูดล่าสุดของ John Williams ประธานธนาคารกลางสาขานิวยอร์กที่ได้กล่าวถึงอัตราเงินเฟ้อจากภาษีว่าเป็นเพียงชั่วคราว และยืนยันว่าการตัดสินใจของ Fed ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

แนวโน้มทางเทคนิค

ในกราฟรายวัน การขึ้นของ S&P 500 ยังคงมีความแข็งแกร่ง ตำแหน่งที่เปิดที่ 6,570 และ 6,610 ควรถูกถือไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของรูปแบบการกลับตัว เช่น 1-2-3 หรือรูปแบบ Double Top อาจกระตุ้นให้มีการทำกำไร การลดลงที่จำเป็นก็คือการลดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนโดจิที่ระดับ 6,640